เจ้าสัวเจริญ: เส้นทางจากศูนย์สู่มหาอาณาจักรธุรกิจพันล้าน
- บทนำ: เรื่องราวของเจ้าสัวเจริญ
- ชีวิตช่วงต้น และการก้าวเข้าสู่วงการสุรา
- การสร้างอาณาจักรไทยเบฟและเบียร์ช้าง
- การขยายตัวสู่ทีซีซีกรุ๊ป: หลากหลายธุรกิจ
- ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนทั่วโลก
- การส่งไม้ต่อให้ทายาท และการวางรากฐานในอนาคต
- ปรัชญาและบทเรียนจากเจ้าสัวเจริญ
- บทสรุป: ความยิ่งใหญ่ที่มากกว่าแค่ตัวเลข
เจ้าสัวเจริญ คือหนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในแวดวงธุรกิจไทย เรื่องราวชีวิตของท่านน่าสนใจและเต็มไปด้วยบทเรียนอันล้ำค่า. จากประสบการณ์ที่ได้ติดตามและศึกษาประวัติของมหาเศรษฐีไทยผู้นี้ ผมพบว่าความสำเร็จของ **เจ้าสัวเจริญ** ไม่ได้มาจากโชคชะตาเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความมุ่งมั่น อดทน และสายตาอันแหลมคมในการมองหาโอกาสเสมอมา. ชีวิตของ **เจริญ สิริวัฒนภักดี** หรือที่หลายคนคุ้นเคยในฐานะ “เจ้าพ่อเบียร์ช้าง” เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการเริ่มต้นจากศูนย์ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างความยิ่งใหญ่แต่อย่างใด ในบทความนี้ เราจะพาไปสำรวจเส้นทางชีวิต การสร้างอาณาจักรธุรกิจ และปรัชญาที่หล่อหลอมให้ท่านกลายเป็น “ราชาแห่งการเทคโอเวอร์” และผู้สร้างอาณาจักรไทยเบฟอันยิ่งใหญ่.
ชีวิตช่วงต้น และการก้าวเข้าสู่วงการสุรา
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก **เจ้าสัวเจริญ** หรือชื่อเดิม โซว เคียก เม้ง เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2487 ณ กรุงเทพมหานคร ในครอบครัวชาวจีนแต้จิ๋วธรรมดาๆ . ชีวิตในวัยเยาว์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลยครับ ท่านเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อมีอาชีพขายหอยทอดในย่านสำเพ็ง-ทรงวาด . ด้วยความยากลำบาก ทำให้ท่านต้องออกมาช่วยงานที่บ้านและทำงานหาเลี้ยงชีพตั้งแต่อายุยังน้อย . การศึกษาของท่านหยุดลงแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนเผยอิง . ผมลองนึกภาพตามนะครับว่าเด็กอายุเพียง 11 ขวบที่ต้องรับจ้างเข็นรถส่งสินค้าในย่านที่วุ่นวายอย่างสำเพ็งจะต้องแบกรับภาระหนักแค่ไหน . นี่คือจุดเริ่มต้นที่ปลูกฝังความอดทนและสัญชาตญาณนักสู้ให้กับท่านอย่างไม่ต้องสงสัย.
ก้าวแรกสู่โลกธุรกิจอย่างจริงจังของ **เจริญ สิริวัฒนภักดี** เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างส่งสินค้าให้กับโรงงานสุราบางยี่ขัน . ที่นี่เองที่ท่านได้พบกับบุคคลสำคัญผู้เป็นเหมือนสะพานเชื่อมสู่ความสำเร็จในภายภาคหน้า นั่นคือ คุณจุล กาญจนลักษณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงสุรา และคุณเถลิง เหล่าจินดา ผู้มีบทบาทสำคัญในบริษัทสุรามหาคุณ . ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ความขยัน และไหวพริบ ทำให้ท่านได้รับความไว้วางใจและเรียนรู้กลยุทธ์ รวมถึงเคล็ดลับต่างๆ ในธุรกิจสุราอย่างลึกซึ้ง .
เส้นทางสู่การเป็น “เจ้าพ่อน้ำเมา”
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2518 เมื่อท่านร่วมกับคุณเถลิงเข้าซื้อกิจการบริษัท ธารน้ำทิพย์ ผู้ผลิต “ธาราวิสกี้” ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท แสงโสม . นี่คือก้าวแรกที่ทำให้ท่านก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตสุราอย่างเต็มตัว และเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างชื่อในฐานะ “เจ้าพ่อน้ำเมา” ของไทย .
ในปี พ.ศ. 2526 กลุ่มของท่านชนะการประมูลสัมปทานโรงงานสุราถึง 12 แห่งทั่วประเทศ . การเข้าควบคุมสัมปทานครั้งประวัติศาสตร์นี้เองที่ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมสุราไทยของ **เจ้าสัวเจริญ** ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น .
การสร้างอาณาจักรไทยเบฟและเบียร์ช้าง
หลายคนรู้จัก **เจ้าสัวเจริญ** ผ่านแบรนด์ “เบียร์ช้าง” ที่โด่งดัง . การเข้าสู่ธุรกิจเบียร์ของท่านเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2534 โดยร่วมทุนกับคาร์ลสเบิร์ก ก่อตั้งโรงงานผลิตเบียร์ขนาดใหญ่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนจะเปิดตัว “เบียร์ช้าง” สู่ตลาดในปี พ.ศ. 2538 . การรุกเข้าสู่ตลาดเบียร์ซึ่งเดิมทีมีผู้เล่นรายใหญ่อยู่แล้วถือเป็นการตัดสินใจที่ท้าทาย แต่ “เบียร์ช้าง” ก็สามารถแจ้งเกิดและขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวได้อย่างรวดเร็ว
ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 ท่านได้ก่อตั้ง บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ ThaiBev ขึ้นมา เพื่อรวมกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเบียร์และสุราชั้นนำของไทยไว้ภายใต้ชายคาเดียวกัน . การรวมกิจการในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและเตรียมพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจในระดับภูมิภาค . แม้จะมีความพยายามนำ ThaiBev เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ก็ไม่สำเร็จในครั้งแรก เนื่องจากประเด็นด้านศีลธรรม . อย่างไรก็ตาม ในที่สุด ThaiBev ก็สามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) ได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2549 .
ปัจจุบัน ThaiBev ไม่ได้มีแค่สุราและเบียร์เท่านั้น แต่ยังขยายไลน์สินค้าครอบคลุมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และธุรกิจอาหารอีกด้วย . ถือเป็นหนึ่งในบริษัทเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยมูลค่าสินทรัพย์และรายได้ระดับแสนล้านบาท .
การขยายตัวสู่ทีซีซีกรุ๊ป: หลากหลายธุรกิจ
นอกเหนือจากธุรกิจเครื่องดื่ม **เจ้าสัวเจริญ** และคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ภรรยาคู่ชีวิตผู้ล่วงลับ ได้ร่วมกันสร้างและขยายอาณาจักรธุรกิจออกไปอย่างกว้างขวางภายใต้ชื่อ กลุ่มบริษัท ทีซีซี (Thai Charoen Corporation – TCC Group) . กลุ่มทีซีซี ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2518 และเติบโตอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในเครือธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย .
อาณาจักร TCC Group ครอบคลุม 5 กลุ่มธุรกิจหลักสำคัญ ได้แก่ :
- กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage): นำโดย ThaiBev รวมถึงการลงทุนใน F&N (Fraser & Neave) ซึ่งเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ในสิงคโปร์ .
- กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมและการค้า (Industrial & Trading): ตัวอย่างเช่น บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ซึ่งเป็นบริษัทเก่าแก่และมีบทบาทสำคัญในการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่อย่าง บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ . การเข้าซื้อ Big C ถือเป็นดีลใหญ่ที่ตอกย้ำความเป็น “ราชาแห่งการเทคโอเวอร์” ของท่าน .
- กลุ่มธุรกิจประกันและการเงิน (Insurance & Financial): เช่น กลุ่มบริษัท ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TGH .
- กลุ่มธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร (Agriculture & Agro-Industry) .
- กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate): ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเสาหลักสำคัญของอาณาจักรนี้ .
การขยายพอร์ตโฟลิโอไปยังหลากหลายอุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงให้กับกลุ่มธุรกิจอย่างแท้จริง.
This image is a fictional image generated by GlobalTrendHub.
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนทั่วโลก
อาณาจักรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ **เจ้าสัวเจริญ** นั้นยิ่งใหญ่และน่าทึ่งไม่แพ้ธุรกิจเครื่องดื่มเลยครับ . การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มขึ้นอย่างจริงจังตั้งแต่เมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว . หนึ่งในดีลสำคัญคือการเข้าซื้อกลุ่มโรงแรมอิมพีเรียลในปี พ.ศ. 2537 .
ปัจจุบัน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ภายใต้บริษัทหลักๆ เช่น บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ซึ่งเน้นกลุ่มธุรกิจโรงแรม การบริการ ค้าปลีก และอาคารสำนักงานระดับพรีเมียม และกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (Frasers Property) ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน อุตสาหกรรม และโลจิสติกส์ .
โครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่และเป็นที่รู้จักของกลุ่มสิริวัฒนภักดีมีอยู่มากมาย . ตัวอย่างที่โดดเด่นและเป็นที่จับตามองอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาคือโครงการ “วัน แบงค็อก” (One Bangkok) โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ที่มีมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท . นอกจากนี้ยังมีโครงการอื่นๆ เช่น เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการระดับแลนด์มาร์ค.
ผมมองว่าการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องและครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศนี้ สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวของ **เจ้าสัวเจริญ** ในการสร้างฐานธุรกิจที่มั่นคงและกระจายความเสี่ยงไปทั่วโลก.
การส่งไม้ต่อให้ทายาท และการวางรากฐานในอนาคต
ในวัย 81 ปี **เจ้าสัวเจริญ** เริ่มส่งไม้ต่ออาณาจักรธุรกิจอันยิ่งใหญ่ให้กับทายาททั้ง 5 คนอย่างเป็นทางการแล้ว . นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ธุรกิจครอบครัวสิริวัฒนภักดี . เมื่อไม่นานมานี้ ท่านได้โอนหุ้นทั้งหมดที่ถือในบริษัท ศรัทธาทรัพย์ 9 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทควบคุมกิจการของ 3 บริษัทหลักในกลุ่ม (BJC, AWC, TGH) ให้กับบุตรธิดาทั้ง 5 คนในสัดส่วนที่เท่าเทียมกัน .
ทายาททั้ง 5 คนได้รับการวางตัวให้บริหารธุรกิจในแต่ละส่วนงานมาระยะหนึ่งแล้ว :
- นางอาทินันท์ พีชานนท์ (บุตรสาวคนโต): ดูแลกลุ่มธุรกิจประกันและการเงิน (TGH) .
- นางวัลลภา ไตรโสรัส (บุตรสาวคนที่ 2): นำทัพธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้าน Hospitality (AWC) .
- นายฐาปน สิริวัฒนภักดี (บุตรชายคนที่ 3): กุมบังเหียนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (ThaiBev) และธุรกิจสื่อ .
- นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล (บุตรสาวคนที่ 4): ดูแลกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมและการค้า (BJC, Big C) .
- นายปณต สิริวัฒนภักดี (บุตรชายคนที่ 5): บริหารกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวม รวมถึงโครงการ One Bangkok และธุรกิจในต่างประเทศ (Frasers Property) และธุรกิจเกษตร .
การจัดโครงสร้างและการส่งไม้ต่อนี้แสดงให้เห็นถึงการเตรียมพร้อมของ **เจ้าสัวเจริญ** เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวสามารถเติบโตและแข่งขันได้ในเวทีโลกต่อไปภายใต้การนำของคนรุ่นใหม่ . เป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคตจริงๆ ครับ.
ปรัชญาและบทเรียนจากเจ้าสัวเจริญ
นอกเหนือจากความสำเร็จทางธุรกิจ สิ่งที่ผมประทับใจในตัว **เจ้าสัวเจริญ** คือปรัชญาและหลักคิดในการดำเนินชีวิตและการทำงาน . ท่านมักเน้นย้ำถึงความสำคัญของความอดทน การสะสมทุน และการรอคอยโอกาส . ท่านสอนเสมอว่าต้องสร้างโอกาสให้กับตัวเอง อย่ารอให้โอกาสเข้ามาหา .
หลักยึดสำคัญประการหนึ่งที่ท่านได้รับมาจากพ่อตา และนำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจและชีวิต คือ คำจีน 4 คำ: ยิ่ม (ความอดทน), เหยียง (ความเสียสละ), แจ๋ (ความเงียบ/สุขุม), และ ลัก (ความร่าเริง) . ผมคิดว่าหลักการเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ท่านฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาได้.
คุณธรรมและความกตัญญูก็เป็นสิ่งที่ **เจริญ สิริวัฒนภักดี** ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง . คำกล่าวที่ว่า “บุญคุณต้องทดแทน” เป็นสิ่งที่ท่านยึดถือและปฏิบัติมาตลอด . นอกจากนี้ ท่านยังเชื่อในหลัก “ยิ่งให้ ยิ่งมี” และมีส่วนร่วมในงานการกุศลและช่วยเหลือสังคมในหลากหลายด้าน โดยมีคุณหญิงวรรณาเป็นกำลังสำคัญเคียงข้าง .
ผมได้เรียนรู้ว่าการทำธุรกิจไม่ได้มีแค่เรื่องตัวเลขหรือกลยุทธ์ที่ซับซ้อนเท่านั้น แต่รากฐานที่สำคัญคือความซื่อสัตย์ คุณธรรม และความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คน ดังที่คุณหญิงวรรณาเคยเตือนสติท่านอยู่เสมอไม่ให้ทำอะไรเกินตัวหรือเสี่ยงจนเกินไป . นี่คือบทเรียนที่ทรงคุณค่าสำหรับนักธุรกิจทุกคน.
This image is a fictional image generated by GlobalTrendHub.
บทสรุป: ความยิ่งใหญ่ที่มากกว่าแค่ตัวเลข
เรื่องราวของ **เจ้าสัวเจริญ** คือมหากาพย์แห่งความพากเพียรและความมุ่งมั่น. จากเด็กชายที่ต้องเข็นรถส่งของในย่านสำเพ็ง สู่การเป็นผู้สร้างอาณาจักรธุรกิจแสนล้านที่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม . ความสำเร็จของท่านไม่ได้วัดได้เพียงแค่ตัวเลขทรัพย์สินซึ่งถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศไทย .
สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือการที่ท่านสามารถนำพา TCC Group เติบโตฝ่าฟันวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจมาได้หลายครั้ง และการวางรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อส่งต่อให้กับทายาททั้ง 5 คน . ปรัชญาการดำเนินชีวิตและธุรกิจที่ยึดมั่นในคุณธรรม ความอดทน และการให้ เป็นสิ่งที่ทำให้ **เจ้าสัวเจริญ** เป็นมากกว่านักธุรกิจผู้มั่งคั่ง แต่เป็นบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆ คน. เรื่องราวของท่านสอนให้เรารู้ว่าไม่ว่าจุดเริ่มต้นจะเป็นอย่างไร ด้วยความเพียรพยายามและหลักการที่ถูกต้อง เราทุกคนก็สามารถสร้างความสำเร็จในแบบของตัวเองได้.
ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจ้าสัวเจริญ