แผ่นดินไหวในประเทศไทย: สิ่งที่คุณต้องรู้และวิธีรับมือ
- แผ่นดินไหวคืออะไร? ทำความเข้าใจปรากฏการณ์ธรรมชาติ
- สาเหตุของแผ่นดินไหว: ทำไมพื้นดินถึงสั่น?
- รอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทย: พื้นที่เสี่ยงอยู่ที่ไหนบ้าง?
- ประวัติแผ่นดินไหวครั้งสำคัญในไทย: บทเรียนจากอดีต
- ผลกระทบจากแผ่นดินไหว: ไม่ใช่แค่แรงสั่นสะเทือน
- การเฝ้าระวังแผ่นดินไหวในประเทศไทย: บทบาทของกรมอุตุนิยมวิทยา
- วิธีเตรียมพร้อมรับมือแผ่นดินไหว: ก่อนเกิด ขณะเกิด และหลังเกิด
- แอปพลิเคชันแจ้งเตือนแผ่นดินไหว: ตัวช่วยสำคัญในยุคดิจิทัล
- สรุป: อยู่กับความเสี่ยงอย่างเข้าใจและเตรียมพร้อม
แผ่นดินไหวในประเทศไทย อาจฟังดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับใครหลายคน เพราะเราไม่ได้อยู่บนวงแหวนแห่งไฟแบบประเทศญี่ปุ่นหรือชิลี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยก็เคยและยังคงเผชิญกับการสั่นสะเทือนของพื้นดินอยู่เป็นครั้งคราว ในฐานะคนที่ติดตามข่าวสารด้านภัยพิบัติมาตลอด ผมเข้าใจดีว่าความรู้สึกไม่มั่นคงเมื่อพื้นดินใต้เท้าเริ่มไหว มันน่ากังวลขนาดไหน ปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เรามีความเสี่ยงมากแค่ไหน และที่สำคัญที่สุดคือ เราจะเตรียมพร้อมรับมือกับมันได้อย่างไร เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองและคนที่เรารัก บทความนี้ ผมจะพาคุณไปเจาะลึกเรื่องราวของแผ่นดินไหวในบริบทของประเทศไทย พร้อมแนวทางปฏิบัติที่เป็นประโยชน์
แผ่นดินไหวคืออะไร? ทำความเข้าใจปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานกันก่อนว่า แผ่นดินไหวคืออะไรกันแน่? แผ่นดินไหว คือ การสั่นสะเทือนของพื้นผิวโลกที่เกิดจากการปลดปล่อยพลังงานที่สะสมอยู่ภายในเปลือกโลกอย่างฉับพลัน พลังงานที่ว่านี้เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก (Tectonic Plates) ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นพื้นผิวโลกของเรา แผ่นเปลือกโลกเหล่านี้ไม่ได้อยู่นิ่งๆ นะครับ แต่เคลื่อนที่อย่างช้าๆ ตลอดเวลา บางครั้งพวกมันก็ชนกัน บางครั้งก็แยกออกจากกัน หรือบางครั้งก็ไถลสวนกันไปมา การเคลื่อนที่นี่แหละที่ทำให้เกิดความเครียดสะสมในชั้นหินใต้ผิวโลก ลองนึกภาพคุณดัดไม้บรรทัดพลาสติกไปเรื่อยๆ จนมันงอมากเข้าๆ ถึงจุดหนึ่งมันก็จะหักหรือดีดกลับอย่างรวดเร็ว นั่นคือการปลดปล่อยพลังงานที่คล้ายกับการเกิดแผ่นดินไหวตามธรรมชาติ
นอกจากสาเหตุตามธรรมชาติจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกแล้ว การสั่นสะเทือนของพื้นดินยังอาจเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ได้เช่นกัน เช่น การทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดิน การทำเหมือง หรือการกักเก็บน้ำปริมาณมหาศาลในเขื่อนขนาดใหญ่ ซึ่งน้ำหนักของน้ำสามารถเพิ่มแรงกดดันต่อชั้นหินใต้ดินและกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนตัวตามแนวรอยเลื่อนได้ แม้แผ่นดินไหวจากกิจกรรมของมนุษย์มักมีความรุนแรงน้อยกว่าที่เกิดจากธรรมชาติ แต่ก็สร้างความเสียหายได้เช่นกันครับ
สาเหตุของแผ่นดินไหว: ทำไมพื้นดินถึงสั่น?
เจาะลึกอีกนิดถึงสาเหตุหลักของแผ่นดินไหว นั่นคือเรื่องของ “รอยเลื่อน” (Faults) รอยเลื่อนเปรียบเสมือนรอยแตกหรือแนวแตกหักในชั้นหินใต้ผิวโลก เมื่อแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ แรงดันที่เกิดขึ้นทำให้หินตามแนวรอยเลื่อนเกิดความเครียด เมื่อความเครียดสะสมถึงขีดจำกัด หินก็จะแตกหักและเลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาในรูปของคลื่นไหวสะเทือน (Seismic Waves) นี่แหละครับที่ทำให้พื้นผิวโลกสั่นสะเทือนและเรารู้สึกได้ถึงแผ่นดินไหว
คลื่นไหวสะเทือนมีหลายประเภท แต่หลักๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเราคือคลื่นปฐมภูมิ (P-waves) และคลื่นทุติยภูมิ (S-waves) คลื่น P จะเดินทางเร็วกว่าและทำให้พื้นดินสั่นในแนวหน้าหลัง ส่วนคลื่น S จะเดินทางช้ากว่าแต่มีพลังงานมากกว่าและทำให้พื้นดินสั่นในแนวขึ้นลงหรือซ้ายขวา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความเสียหาย จุดที่เกิดการแตกหักและปลดปล่อยพลังงานใต้ผิวโลกเรียกว่า “ศูนย์เกิดแผ่นดินไหว” (Focus หรือ Hypocenter) ส่วนจุดบนพื้นผิวโลกที่อยู่ตรงกับศูนย์เกิดแผ่นดินไหวพอดีเรียกว่า “จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว” (Epicenter)
รอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทย: พื้นที่เสี่ยงอยู่ที่ไหนบ้าง?
หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วประเทศไทยเรามีรอยเลื่อนที่ว่านี้ไหม? มีครับ! แม้เราจะไม่ได้อยู่บนขอบแผ่นเปลือกโลกหลัก แต่ก็มีแนวรอยเลื่อนจำนวนมากพาดผ่าน โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศ กรมทรัพยากรธรณีได้ระบุกลุ่ม “รอยเลื่อนมีพลัง” ซึ่งหมายถึงรอยเลื่อนที่มีหลักฐานการเคลื่อนตัวในช่วง 10,000 ปีที่ผ่านมา และยังมีโอกาสทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้อีกในอนาคต
ปัจจุบัน มีการระบุรอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทยถึง 16 กลุ่ม ครอบคลุมพื้นที่ 23 จังหวัด รอยเลื่อนเหล่านี้กระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่สำคัญ เช่น กลุ่มรอยเลื่อนแม่จัน รอยเลื่อนแม่ลาว ในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ในจังหวัดกาญจนบุรี หรือรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ในภาคใต้ การทำความเข้าใจว่าพื้นที่ใดมีความเสี่ยงจากรอยเลื่อนมีพลังเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางแผนการก่อสร้างและการเตรียมพร้อมรับมือกับธรณีพิบัติภัย
ประวัติแผ่นดินไหวครั้งสำคัญในไทย: บทเรียนจากอดีต
ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ประเทศไทยก็เคยมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สำคัญหลายครั้ง บันทึกทางประวัติศาสตร์บางส่วนกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตไกลกว่าพันปี เช่น ตำนานเมืองโยนกนครล่มสลายเมื่อราวปี พ.ศ. 1003 ซึ่งเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ในยุคใกล้ๆ เรามากขึ้น เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งสำคัญที่ตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือเกิดขึ้นหลายครั้ง
หนึ่งในเหตุการณ์ที่คนไทยจำนวนมากจดจำได้คือ แผ่นดินไหวที่อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ในปี พ.ศ. 2557 ขนาด 6.3 ซึ่งสร้างความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือน วัด และโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่อย่างมาก แรงสั่นสะเทือนครั้งนั้นรับรู้ได้ไกลถึงกรุงเทพมหานครในอาคารสูง นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่มีศูนย์กลางในประเทศเพื่อนบ้านอยู่บ่อยครั้ง เช่น แผ่นดินไหวจากประเทศเมียนมา หรือจากหมู่เกาะอันดามันและสุมาตราในอินโดนีเซีย
เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 ขนาด 8.2 แม้จุดศูนย์กลางจะอยู่ห่างออกไปกว่า 1,100 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯ แต่แรงสั่นสะเทือนก็ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนในหลายจังหวัด รวมถึงกรุงเทพฯ ที่อาคารสูงหลายแห่งรับรู้ได้ถึงการสั่นไหวอย่างรุนแรง เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า เราไม่ควรมองข้ามภัยแผ่นดินไหวในประเทศไทยอีกต่อไป
This image is a fictional image generated by GlobalTrendHub.
ผลกระทบจากแผ่นดินไหว: ไม่ใช่แค่แรงสั่นสะเทือน
ผลกระทบจากแผ่นดินไหวนั้นมีหลากหลายและซับซ้อนกว่าแค่การสั่นสะเทือนที่เรารู้สึกได้ แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เห็นได้ชัดคือความเสียหายต่ออาคารและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ตั้งแต่อาคารบ้านเรือนธรรมดาไปจนถึงตึกสูงและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
นอกจากนี้ แผ่นดินไหวยังสามารถกระตุ้นให้เกิดภัยพิบัติรอง (Secondary Hazards) อื่นๆ ตามมาได้อีก เช่น:
- แผ่นดินถล่ม (Landslides): โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาสูงหรือลาดชัน แรงสั่นสะเทือนอาจทำให้ดินและหินเคลื่อนตัวลงมาอย่างรวดเร็ว
- ไฟไหม้ (Fires): แผ่นดินไหวอาจทำให้ท่อแก๊สเสียหายหรือสายไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งนำไปสู่การเกิดเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ได้
- สึนามิ (Tsunami): หากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่เกิดขึ้นใต้ทะเล แรงสั่นสะเทือนสามารถก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิซัดเข้าสู่ชายฝั่ง สร้างความเสียหายรุนแรงในพื้นที่ชายฝั่งทะเล ดังที่เราเคยเห็นในเหตุการณ์สึนามิปี พ.ศ. 2547 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคใต้ของไทย
- การแปรสภาพดินเป็นของเหลว (Soil Liquefaction): ในพื้นที่ที่เป็นดินอ่อนหรือดินที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง แรงสั่นสะเทือนอาจทำให้ดินมีลักษณะคล้ายของเหลว ทำให้สิ่งก่อสร้างที่อยู่บนนั้นทรุดตัวหรือพังทลายได้
- อาฟเตอร์ช็อก (Aftershocks): หลังจากการเกิดแผ่นดินไหวหลัก มักจะมีแรงสั่นสะเทือนขนาดเล็กกว่าตามมาอีกหลายครั้ง ซึ่งอาจสร้างความเสียหายเพิ่มเติมแก่อาคารที่อ่อนแออยู่แล้วได้
ในมิติของผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม แผ่นดินไหวสามารถสร้างความสูญเสียได้มหาศาล ไม่ว่าจะเป็นความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหาผู้พลัดถิ่น การหยุดชะงักของระบบสาธารณูปโภคและการคมนาคม รวมถึงผลกระทบทางจิตใจต่อผู้ประสบภัย เหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ครั้งล่าสุดในเมียนมาส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาคการท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ซึ่งมีการยกเลิกการจองที่พักและเที่ยวบินจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นว่าภัยธรรมชาตินี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเราได้อย่างรวดเร็ว
การเฝ้าระวังแผ่นดินไหวในประเทศไทย: บทบาทของกรมอุตุนิยมวิทยา
ประเทศไทยไม่ได้นิ่งนอนใจต่อภัยแผ่นดินไหว หน่วยงานหลักที่มีบทบาทสำคัญในการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์คือ กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา กรมอุตุนิยมวิทยามีเครือข่ายสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำหน้าที่ตรวจจับการสั่นสะเทือน ประเมินขนาดและตำแหน่งของแผ่นดินไหวทั้งที่เกิดขึ้นในประเทศและต่างประเทศที่อาจส่งผลกระทบถึงไทย ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาวิเคราะห์และรายงานเพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบสถานการณ์
แม้ว่าในปัจจุบัน การพยากรณ์แผ่นดินไหวว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ที่ไหน และขนาดเท่าใดอย่างแม่นยำยังเป็นเรื่องที่ท้าทายในระดับโลก แต่กรมอุตุนิยมวิทยากำลังเร่งพัฒนาระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวล่วงหน้า (Early Warning System – EWS) เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้รวดเร็วยิ่งขึ้นหลังจากตรวจพบคลื่นปฐมภูมิ (P-waves) ซึ่งเดินทางเร็วกว่าคลื่น S ที่สร้างความเสียหาย ระบบนี้เมื่อพัฒนาสมบูรณ์จะช่วยให้ผู้คนมีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีถึงหนึ่งนาทีในการหาที่หลบภัย ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดการบาดเจ็บและเสียชีวิต
This image is a fictional image generated by GlobalTrendHub.
วิธีเตรียมพร้อมรับมือแผ่นดินไหว: ก่อนเกิด ขณะเกิด และหลังเกิด
ในเมื่อเราไม่สามารถทำนายการเกิดแผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำ สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้คือการเตรียมพร้อม การเตรียมตัวอย่างถูกวิธีจะช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายได้อย่างมาก ผมขอแบ่งขั้นตอนการเตรียมพร้อมออกเป็น 3 ช่วง:
ก่อนเกิดแผ่นดินไหว:
- สำรวจและประเมินความเสี่ยง: ตรวจสอบว่าบ้านหรืออาคารที่เราอยู่มีความแข็งแรงตามมาตรฐานการต้านทานแผ่นดินไหวหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่ใกล้รอยเลื่อนมีพลัง
- จัดสภาพแวดล้อมภายในบ้าน: ยึดเฟอร์นิเจอร์หนักๆ เช่น ตู้ ชั้นวางของ เข้ากับผนังให้แน่นหนา ไม่วางสิ่งของหนักๆ บนชั้นสูงๆ ที่อาจตกลงมาได้ จัดเก็บสิ่งของที่แตกหักง่ายในตู้ที่มีบานปิดหรือตัวล็อก
- เตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉิน: เตรียมกระเป๋าหรือชุดอุปกรณ์ฉุกเฉินที่หยิบง่าย ประกอบด้วยไฟฉายและแบตเตอรี่สำรอง น้ำดื่ม อาหารแห้ง ยาสามัญประจำบ้าน ชุดปฐมพยาบาล นกหวีด และสำเนาเอกสารสำคัญ
- วางแผนสำหรับครอบครัว: กำหนดจุดนัดพบของครอบครัวในกรณีที่ต้องพลัดพลัดกัน ฝึกซ้อมการหลบภัยและเส้นทางหนีไฟฉุกเฉิน เรียนรู้วิธีปิดวาล์วแก๊สและตัดกระแสไฟฟ้าในบ้าน
ขณะเกิดแผ่นดินไหว:
- ตั้งสติ: สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าตื่นตระหนก พยายามควบคุมสติให้อยู่ในความสงบ
- หมอบ คลุมตัว และจับยึด (Drop, Cover, Hold On): หากอยู่ในอาคาร ให้รีบหมอบลง คลุมศีรษะและลำคอด้วยแขนหรือหาวัตถุที่แข็งแรง เช่น ใต้โต๊ะที่แข็งแรง เป็นที่กำบัง และจับยึดโต๊ะไว้ให้มั่น เพราะอาจมีการเคลื่อนที่
- อยู่ให้ห่างจากจุดเสี่ยง: หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้หน้าต่าง กระจก ผนังภายนอกอาคาร หรือสิ่งของที่อาจหล่นลงมา เช่น ตู้ โคมไฟ
- ห้ามใช้ลิฟต์: หากอยู่ในอาคารสูง ห้ามใช้ลิฟต์โดยเด็ดขาด ให้ใช้บันไดหนีไฟแทนเมื่อการสั่นหยุดแล้ว
- หากอยู่นอกอาคาร: ให้อยู่ในที่โล่ง ห่างจากอาคาร เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา ต้นไม้ใหญ่ หรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่อาจล้มทับ
- หากอยู่ในรถ: ค่อยๆ ชะลอรถและหาที่จอดในที่โล่ง ห่างจากอาคาร สะพานลอย หรือสายไฟฟ้า และอยู่ในรถจนกว่าการสั่นจะหยุด
- หากอยู่ริมทะเล: ให้รีบหนีขึ้นที่สูงทันที เพราะอาจเกิดสึนามิได้ โดยเฉพาะหากรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนยืนอยู่ไม่ได้
หลังเกิดแผ่นดินไหว:
- ตรวจสอบตัวเองและผู้อื่น: ตรวจสอบว่าตัวคุณและคนรอบข้างปลอดภัยและได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากจำเป็น
- ออกจากอาคารที่เสียหาย: หากอาคารเสียหายรุนแรง ให้รีบออกจากอาคารด้วยความระมัดระวัง และระวังอาฟเตอร์ช็อกที่อาจตามมา
- ระวังอันตรายอื่นๆ: สวมรองเท้าหุ้มส้นเพื่อป้องกันเศษแก้วหรือของมีคม ตรวจสอบการรั่วไหลของแก๊ส สายไฟขาด หรือท่อน้ำแตก อย่าจุดไม้ขีดไฟหรือก่อไฟหากสงสัยว่ามีแก๊สรั่ว
- ติดตามข่าวสาร: รับฟังข้อมูลและคำแนะนำจากหน่วยงานราชการที่เชื่อถือได้ เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา หรือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หลีกเลี่ยงการเชื่อหรือเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่ได้รับการยืนยัน
- ให้ความช่วยเหลือ: หากปลอดภัยและมีความสามารถ ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ
แอปพลิเคชันแจ้งเตือนแผ่นดินไหว: ตัวช่วยสำคัญในยุคดิจิทัล
ในยุคที่สมาร์ทโฟนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การติดตั้งแอปพลิเคชันแจ้งเตือนแผ่นดินไหวไว้ในเครื่องก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเพิ่มความปลอดภัยที่ดีครับ มีหลายแอปพลิเคชันที่น่าสนใจและสามารถใช้งานในประเทศไทยได้
แอปพลิเคชันหลักที่พัฒนาโดยหน่วยงานของไทยคือ EarthquakeTMD โดยกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา แอปนี้จะรายงานข้อมูลแผ่นดินไหวทั้งในประเทศและทั่วโลก รวมถึงการคาดการณ์สึนามิ และสามารถส่งข้อความแจ้งเตือนฉุกเฉินผ่าน Notification ได้ นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์การรับฟังวิทยุกรมอุตุนิยมวิทยา และข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินต่างๆ
นอกจากแอปของกรมอุตุนิยมวิทยา ยังมีแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น MyShake ซึ่งใช้เซ็นเซอร์ในสมาร์ทโฟนตรวจจับแรงสั่นสะเทือนและแจ้งเตือนผู้ใช้ รวมถึง Google Public Alerts ที่แสดงข้อมูลเตือนภัยต่างๆ (รวมถึงแผ่นดินไหว) บน Google Search และ Google Maps โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งแอปเพิ่มเติม การมีแอปเหล่านี้ติดเครื่องไว้ จะช่วยให้เราได้รับข้อมูลสถานการณ์ล่าสุดได้อย่างรวดเร็วและเตรียมพร้อมรับมือได้ทันท่วงที
สรุป: อยู่กับความเสี่ยงอย่างเข้าใจและเตรียมพร้อม
แผ่นดินไหวในประเทศไทย อาจไม่ใช่ภัยที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเหมือนในบางประเทศ แต่ประวัติศาสตร์และลักษณะทางธรณีวิทยาของเราบ่งชี้ว่าความเสี่ยงนั้นมีอยู่จริงและไม่ควรมองข้าม ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง การทำความเข้าใจธรรมชาติของแผ่นดินไหว สาเหตุ ผลกระทบ และวิธีเตรียมพร้อมรับมือ ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
จากการศึกษาข้อมูลต่างๆ รวมถึงการติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ผมเชื่อว่าการเตรียมตัวล่วงหน้า การรู้ว่าควรทำอย่างไรขณะเกิดเหตุ และการติดตามข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ คือกุญแจสำคัญในการลดความเสียหายและเพิ่มโอกาสในการเอาชีวิตรอด การที่หน่วยงานภาครัฐอย่างกรมอุตุนิยมวิทยากำลังพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าเรากำลังเดินหน้าสู่การจัดการภัยพิบัติที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การเตรียมพร้อมระดับบุคคลและระดับครอบครัวก็ยังคงมีความสำคัญสูงสุด เพราะเมื่อพื้นดินเริ่มสั่นสะเทือน สติและการกระทำที่ถูกต้องในเสี้ยวนาทีนั้น อาจหมายถึงความแตกต่างระหว่างชีวิตและความสูญเสียครับ
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแผ่นดินไหวในประเทศไทย